4 แนวทางการเล่นโป๊กเกอร์อย่างมือโปร อยากโปรต้องรู้

4-tips-to-pro-player-2024-10-30

4 แนวทางการเล่นโป๊กเกอร์อย่างมือโปร อยากโปรต้องรู้

หากอยากเล่น Poker ให้ได้อย่างโปรเพลเยอร์ ก็ต้องเรียนรู้แนวทางแบบที่โปรเพลเยอร์ใช้ ในบทความนี้เราจะขอพาทุกคนมาศึกษาแนวทางเทคนิควิธีการเล่นอย่างมือโปร เพื่อพัฒนาตัวเองไปสู่การเล่นโป๊กเกอร์ขั้นสูงต่อไปในอนาคต หากอยากเล่นอย่างโปรมืออาชีพ นี่คือ 5 เทคนิค ที่เราขอแนะนำให้ทุกคนเรียนรู้ ฝึกฝน และปฏิบัติตาม เราก็อาจสามารถเล่นอย่างโปรได้ไม่ช้า

หัวข้อต่างๆ

1. เตรียมปรับการเล่นให้เหมาะสมกับเกมแต่ละประเภท

เกมโป๊กเกอร์แต่ละประเภท อาจจะมีหลักการพื้นฐานเหมือนกัน แต่มีความแตกต่างในรายละเอียดปลีกย่อย ที่จะส่งผลต่อกลยุทธ์การเล่นอย่างมาก ฉะนั้น เราควรจะต้องเข้าใจว่า เกมแต่ละรูปแบบ มีความต่างจากแบบอื่นอย่างไร เพื่อที่จะสามารถปรับรูปแบบการเล่นและวางกลยุทธ์ได้สอดคล้องกับการเล่นในแต่ละแบบ ดังนี้

Cash Game ควรเล่นในลักษณะ Tight Aggressive เป็นหลัก

Cash Game เป็นเกมในรูปแบบที่มีการเก็บ Rake หรือค่าธรรมเนียมบริการในการเล่น ออกจาก pot ในทุกๆแฮนด์ เงินที่เราจะได้ใน pot จึงน้อยกว่าเงินที่เราเล่นชนะได้จริงๆอยู่เสมอ ดังนั้น เพื่อชดเชยกับการเสีย rake ในทุกตา เราจึงจำเป็นต้องเลือก Range หรือขอบเขตของไพ่ที่นำมาเลือกเล่น ให้แคบลง และเล่นในกลยุทธ์ Raise / Fold มากขึ้นตอน Preflop โดยการ Open Raise อยู่เสมอ (ไม่ Limp) และเมื่อมีคน Open Raise ให้เล่นโดยการ Reraise หรือ 3Bet หรือไม่ก็หมอบไปเลย มากกว่าจะ call ตามไปเล่น เพื่อเพิ่มโอกาสชนะตอน Preflop โดยไม่ต้องเข้าไปเล่น Postflop แล้วอาจจะต้องเสียชิพที่ถูกหัก rake บ่อยๆ

ส่วนการเล่น Postflop ก็อาจจะต้องเล่น Tight มากขึ้น เนื่องจาก Cash Game เป็นการเล่นที่ Deep Stack (100bb) ตลอดเวลา หากเล่นผิดพลาดหรือ Loose เกินไป จึงมีโอกาสที่จะเสียชิพได้เป็นจำนวนมาก ทำให้ต้องเล่นด้วยความระมัดระวังมากขึ้น จึงจะช่วยเพิ่มโอกาสชนะในระยะยาวมากขึ้นได้

ตัวอย่าง

เราถือ 99 ในตำแหน่ง CO เจอ HJ Open Raise มา เราควรจะ 3Bet ออกไป มากกว่าจะแค่ Call

เราถือ A7s เจอคู่ต่อสู้ Bet อย่างต่อเนื่อง แล้ว All-In ที่ river บนบอร์ด AK8J9 เราควรจะ Fold ที่ river มากกว่า Call เพื่อจับบลัฟบ่อยๆ เพราะอาจจะได้ไม่คุ้มเสีย

Tournament ทั่วไปควรเล่นในลักษณะ Loose Aggressive มากขึ้น

Tournament จะต่างจาก Cash Game ในแง่ที่ว่า จะไม่มีการหัก Rake ในแต่ละแฮนด์ แต่จะมีการหัก Ante (ชิพจากผู้เล่นทุกคนบนโต๊ะ หรือจากตำแหน่ง Big Blind คนเดียว) มารวมใน Pot ทำให้ชิพใน Pot มากกว่าเมื่อเทียบกับ Cash Game นั่นทำให้การเล่นทัวร์นาเมนต์สามารถเล่น Loose ขึ้นได้ โดยการ call เข้าไปเล่นได้บ่อยกว่า เพราะมีความคุ้มค่าในการเล่นมากกว่า ขณะเดียวกัน ในการเล่นแต่ละ Tournament ก็เป็นการเล่นระยะสั้น ที่ผู้เล่นแต่ละคนต่างก็ต้องต่อสู้กัน เพื่อแย่งชิงเงินรางวัล หรือถ้วยรางวัลสำหรับผู้ชนะอันดับ 1 เพียงคนเดียว นั่นทำให้ การเล่นทัวร์นาเมนต์จะมีลักษณะการเล่นที่ต้องเสี่ยงมากกว่า Cash Game การจะเอาชนะ Tournament จึงต้องมีลักษณะการเล่นในเชิง Loose Aggressive (หมอบน้อย ดุดัน กล้าได้กล้าเสีย) จึงจะมีโอกาสประสบความสำเร็จในระยะสั้น และระยะยาว

ตัวอย่าง

เรามี 66 Stack 20bb อยู่ SB เจอคู่ต่อสู้ Open Raise มาจาก CO เราควรจะ Jam AII-In ไปเลย เมื่อเราเป็น Short Stack

เราถือ A9o มี 25bb อยู่ BB เจอคู่แข่ง Open Raise จาก MP เรา Call ไปเล่นที่ Flop ตก 954 คู่แข่ง Cbet เล็ก เราควร Raise ที่ Flop และหาก Turn ไม่ตก Overcard เราอาจจะ All-In เลย เพราะนี่อาจจะเป็นแฮนด์ที่ดีที่สุดของเรา เมื่อเรา Short Stack

Tournament แบบ Bounty Hunter จะมีความ Loose Aggressive และเสี่ยงมากกว่าปกติ

Bounty Hunter คือ Tournament ที่ผู้เล่นแต่ละคน จะมีค่าหัวของตัวเอง ซึ่งถ้าเราสามารถ Knock Out คู่แข่งให้ตกรอบไปได้ เราก็จะได้ค่าหัวของผู้เล่นคนนั้น เป็นกำไรเข้ากระเป๋าเราโดยตรงเลย นั่นทำให้มันเป็น Tournament ที่ผู้เล่นยิ่งต้องเล่นเสี่ยงกว่าปกติ เพื่อเพิ่มโอกาสสะสมชิพไว้ Knock Out คู่แข่ง โดยเฉพาะการ call รับการ All-in ของคู่แข่ง ก็อาจจะ call กว้างกว่าปกติมากๆ จึงเป็นเกมที่มีความผันผวนสูง ถ้าอยากได้เงินรางวัลเยอะ และมีโอกาสเป็นผู้ชนะ

ตัวอย่าง

เราถือ QJs มี 25bb อยู่ BTN เจอคู่แข่งที่ตำแหน่ง HJ มีค่าหัวที่สูง All-In มาที่ 15bb เราอาจจะต้อง Call All-In หรือ Rejam All-In แม้อาจจะไม่ใช่แฮนด์ที่ดีนัก แต่ด้วยค่าหัวจำนวนมาก อาจจะทำให้คุ้มกับการเสี่ยงครั้งนี้

Tournament แบบ Turbo ต้องอาศัยทักษะการเล่น Preflop มากกว่าปกติ

Tournament แบบ Turbo คือทัวร์นาเมนต์ที่ Blind Level จะปรับเพิ่มขึ้นเร็วกว่าปกติ นั่นทำให้เรามีโอกาสเป็น Short Stack ได้เร็วขึ้น ทำให้ต้องมีการ All-In และรับ All-in กันตอน Preflop ได้บ่อยกว่าปกติ ดังนั้น หากเราอยากประสบความสำเร็จในการเล่นทัวร์นาเมนต์แบบ Turbo เราก็ต้องศึกษากลยุทธ์การเล่น Preflop ให้ช่ำชอง เพื่อให้มีทักษะการเล่น Preflop สูงกว่าผู้เล่นทั่วไป เราจึงจะได้เปรียบและมีโอกาสชนะมากขึ้น

2. สังเกตและเตรียมเก็บข้อมูลคู่แข่ง เพื่อปรับสไตล์การเล่นให้เหมาะกับผู้เล่นแต่ละประเภท

การเล่น Poker ในโลกจริง ผู้เล่นแต่ละคนล้วนไม่ได้เล่นตามตำราเป๊ะ แต่มักจะมีสไตล์การเล่นเฉพาะตัว ดังนั้น เพื่อให้สามารถกำไรหรือกินชิพจากคู่แข่งให้ได้มากที่สุด ผู้เล่นระดับโปรส่วนใหญ่ จึงเป็นผู้เล่นที่ไม่ยึดสไตล์ใดสไตล์เดียวเป็นหลัก แต่สามารถปรับเปลี่ยนสไตล์การเล่นให้สอดคล้องกับวิธีการเล่นของคู่ต่อสู้แต่ละสไตล์ได้ โดยมีแนวทางการปรับ ตามนี้ :

เจอคน Tight ให้ปรับเล่น Aggressive มากขึ้น

คนที่ Tight จะมีลักษณะที่มักจะเล่นแต่แฮนด์ดีๆ มี Bluff น้อย และพร้อมที่จะ Fold ถ้าแฮนด์ไม่ดีพอ เราจึงโจมตีด้วยการเล่นให้ Aggressive ขึ้น โดยเพิ่ม Bluff ให้มากขึ้นได้ แต่ต้องพร้อมยอมแพ้ ถ้าเขาไม่ Fold หรือแสดงความ Aggressive ออกมา

เช่น เราถือ KTo เป็นคน Open Raise คู่แข่ง Call บอร์ดเป็น Q75 เรา Cbet คู่แข่ง Call Turn ตก A เราควรจะ Cbet เพื่อ Bluff ต่อ เพราะคู่แข่งมีโอกาส Fold สูง

เจอคน Loose ให้ปรับลดการ Bluff ลง และ Value Bet ให้ใหญ่และบ่อยมากขึ้น

คนที่ Loose คือคนที่ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ Fold ยาก กล้าจับ Bluff บ่อย ดังนั้น เราจึงควร Bluff ให้น้อยลง และเวลาที่มี Value Hand ก็สามารถ Bet ให้ใหญ่ขึ้น และบ่อยขึ้นได้ จะทำให้เราลดการเสียชิพลง และกินชิพจากผู้เล่นกลุ่มนี้ได้มากขึ้น

เช่น เราถือ JTs เป็นคน Open Raise คู่แข่ง Call มา บอร์ดเป็น 972 เรา Cbet คู่แข่ง Call Turn ตก Q เรา Bet ต่อใหญ่ๆ คู่แข่งยัง Call ตามอีก River ตก 6 เราอาจจะต้อง Check ยอมแพ้ เพราะคู่แข่งสไตล์ Loose อาจจะกล้า Call จับ Bluff มากขึ้น

เจอคน Aggressive ให้ปรับเล่น Loose มากขึ้น

ผู้เล่นที่ Aggressive จะ Bet / Raise ใหญ่ๆ หรือบ่อยกว่าปกติ ทำให้มีโอกาสที่เขาจะมี Bluff ได้มากกว่าปกติ ดังนั้น เราจึงต้องพยายามสู้มากขึ้น ด้วยการปรับการเล่นให้ Loose ขึ้นอีกเล็กน้อย โดย Fold ให้น้อยลง และกล้า Call ไปจับ Bluff มากขึ้น

เช่น เราถือ QTo Call ไปเล่นกับคู่แข่งที่ Aggressive มากๆ บอร์ด 984QK คู่แข่ง Bet อย่างต่อเนื่องจนถึง River เราอาจจะต้องกล้า Call กับ Middle Pair Q ของเราบ่อยขึ้น

เจอคน Passive ให้ปรับเล่น Tight มากขึ้น

ผู้เล่นที่ Passive คือจะเล่นแบบ Check / Call เป็นหลัก มีการ Bet / Raise น้อยกว่าปกติ นั่นแปลว่า เขามีโอกาสที่จะวางกับดัก โดยการ Slow Play เล่นแค่ Check / Call กับแฮนด์ดีๆได้บ่อยกว่าปกติ เราจึงต้องเล่นด้วยความระมัดระวังกับผู้เล่นกลุ่มนี้มากขึ้น ด้วยการเล่นให้ Tight ขึ้น ถ้าแฮนด์ไม่ดีจริง อย่า Bet / Raise ใหญ่ๆ หรือบ่อยเกินไป

เช่น เราถือ AQo เป็นคน Open Raise คู่แข่งสไตล์ Passive Call มาเล่น บอร์ด A97KT เรา Bet ใหญ่ที่ Flop Turn คู่แข่ง Call มาได้ตลอด River เราอาจจะควร Check กับผู้เล่นประเภทนี้ เพราะเขาอาจจะมีแฮนด์ที่ดีกว่า Top Pair ของเรา แต่แค่ Call เพื่อวางกับดักหรือ Slow Play มาได้

นั่นคือแนวทางการปรับตัว เมื่อเจอกับผู้เล่นแต่ละสไตล์ เพื่อให้เราสามารถกินชิพจากผู้เล่นแต่ละแบบได้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม เราก็ควรต้องสังเกตวิธีการเล่นผู้เล่นแต่ละแบบอยู่เสมอ เพราะมีโอกาสที่เขาอาจจะเริ่มสังเกตวิธีการเล่นของเรา และปรับตัวตามการเล่นของเราโดยเปลี่ยนวิธีเล่นได้เช่นกัน ทำให้เราก็ต้องพร้อมปรับวิธีการเล่นไปเรื่อยๆ เมื่อรูปแบบการเล่นของคู่ต่อสู้เปลี่ยนไปด้วย

3. มีวินัยในการเล่น และการบริหาร Bankroll

แม้จะความรู้หรือทักษะในการเล่นสูงแค่ไหน แต่การที่ผู้เล่นระดับมือโปร จะสามารถยืนระยะการเล่นได้อย่างยาวนานมากพอ คือต้องมีวินัย ทั้งวินัยในการเล่น และวินัยในการบริหาร Bankroll อย่างเข้มงวด ตัวอย่างของการสร้างวินัย เพื่อให้ประสบความสำเร็จในการเล่นอย่างที่มือโปรทำ ได้แก่ :

เล่นให้สม่ำเสมอ ตามแผนที่วางไว้

การจะพัฒนาฝีมือ และทำกำไรได้อย่างต่อเนื่อง จำเป็นจะต้องมีการวินัยในการเล่นอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่เล่นๆหยุดๆ หรือเล่นก็ต่อเมื่อมีอารมณ์อยากจะเล่นเท่านั้น เพราะโปรโป๊กเกอร์ทุกคนปฏิบัติกับโป๊กเกอร์เหมือนอย่างการทำงาน ที่ต้องมีความรับผิดชอบด้วยการทำอย่างสม่ำเสมอในทุกๆวัน แม้ว่าอาจจะมีบางวันที่เราเบื่อหรือขี้เกียจ แต่เราก็ไม่ควรนำอารมณ์ดังกล่าวมามีผลกับการเล่น โดยแต่ละคนอาจจะวางแผนใช้เวลาการเล่นในแต่ละวันแตกต่างกันได้ ซึ่งอาจจะแบ่งการเล่นเป็น session ครั้งละ 1-3 ชั่วโมง และมีการหยุดพักระหว่าง session บ้าง ตามภาระหน้าที่หรือความสะดวก​

เตรียม Bankroll ให้มากพอ

Bankroll หรือเงินที่เตรียมนำมาเล่น ควรจะเตรียมให้มากพอ เพื่อรองรับความผันผวนที่จะเกิดขึ้น โดยประเมินจากประเภทของเกม, ฝีมือการเล่นของผู้เล่นโดยรวมเมื่อเทียบกับเรา หรือระดับการรับความเสี่ยงของแต่ละคนก็ได้

    • สำหรับ Cash Game ควรเตรียม Bankroll อย่างน้อย 50 Buy-In ขึ้นไป
    • สำหรับ Tournament จะมีความผันผวนมากกว่า Cash Game ควรเตรียม Bankroll อย่างน้อย 100 Buy-In ขึ้นไป
    • Tournament บางประเภทที่มีความผันผวนสูงกว่าปกติ เช่น Bounty Hunter หรือ Turbo ควรเตรียม Bankroll มากกว่า 150 Buy-In ขึ้นไป
    • ในเกมที่เราคิดว่าน่าจะเก่งกว่าคู่ต่อสู้โดยรวม อาจปรับลดจำนวน Buy-In เบื้องต้นลงได้ แต่ถ้าไม่แน่ใจหรือคิดว่ายังเก่งน้อยกว่าคนอื่น อาจปรับเพิ่มจำนวน Buy-In ให้มากขึ้น
    • หากเราเป็นคนรับความผันผวนได้มาก อาจจะปรับลดจำนวน Buy-In ลงได้บ้าง แต่หากเรารับความผันผวนได้น้อย ก็ควรปรับเพิ่มจำนวน Buy-In ให้มากขึ้น

บริหารความเสี่ยง Bankroll ให้รัดกุม

แม้เราจะเตรียม Bankroll ไว้มากพอแล้ว แต่หากขาดการบริการความเสี่ยงที่ดี ก็อาจทำให้เราเสีย Bankroll ไปเป็นจำนวนมากได้ วิธีการที่มือโปรใช้เพื่อช่วยลดระดับความผันผวนของ Bankroll คือการ “Downsizing” หรือการลดขนาดของเกมที่เล่นลง เมื่อเราเสีย Bankroll มากถึงจุดหนึ่ง (เช่น 40-50% ของ Bankroll ทั้งหมด)​ ให้ปรับลดเงินที่เรา Buy-In ลงครึ่งหนึ่ง โดยการถอยลงไปเล่นเกมที่เล็กลง ที่ทำให้ค่า Buy-In ลดลง และค่อยกลับขึ้นมาเล่นเกมในระดับก่อนหน้า ถ้าเราสามารถปั้น Bankroll ให้โตกลับมาเท่าเดิมได้

4. จัดการกับความคิดและบริหารอารมณ์ให้ดี

การจะประสบความสำเร็จในการเล่นโป๊กเกอร์ให้ได้อย่างมือโปร เรื่องพื้นฐานที่สำคัญที่สุด ก็คือเรื่องของ “หลักคิด” หรือ Mindset ที่ควรมีความเข้าใจธรรมชาติของเกม เพื่อให้มีความคิดที่ถูกต้อง ไม่ถูกอารมณ์ความรู้สึกเข้าครอบงำจนไร้เหตุผล ตัวอย่างของพื้นฐานความคิดที่สำคัญ เช่น :

เข้าใจว่าโป๊กเกอร์เป็นเกมแห่งสถิติในระยะยาว

โป๊กเกอร์เป็นเกมที่เกี่ยวข้องกับคณิตศาสตร์ในเชิงสถิติและความน่าจะเป็น ซึ่งเชื่อในเรื่องของค่าเฉลี่ยในระยะยาว จาก อัตรากำไรเฉลี่ย (Expected Value : EV)​ หรือโอกาสที่เราจะชนะ (Equity)​ โดยเชื่อว่า ยิ่งเราเล่นจำนวนแฮนด์เยอะมากเท่าไหร่ ผลลัพธ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น จะยิ่งเข้าใกล้ค่าเฉลี่ยที่ควรจะเป็นมากขึ้นเท่านั้น แต่ในระยะสั้น จะมีเรื่องของ ความผันผวน (Variance)​ ที่เกิดจากโชค เข้ามาเกี่ยวข้อง ที่อาจจะทำให้ผลลัพธ์ในระยะสั้น ต่างจากค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ควรจะเป็น เช่น ควรจะได้ แต่กลับเสีย หรือได้มาก/น้อยกว่าที่ควรเป็น ดังนั้น เราจึงควรตัดสินใจเล่น จากเหตุผลทางค่าเฉลี่ยระยะยาว มากกว่าการใช้ความรู้สึก หรือผลลัพธ์ในระยะสั้น จึงจะเป็นการเล่นที่สมเหตุผลที่สุด


ตัดสินใจด้วยเหตุผล ไม่ใช้อารมณ์ความรู้สึก

หากเราใช้อารมณ์ความรู้สึกในการเล่น เช่น ไม่กล้าเล่นแฮนด์นี้ เพราะดูไม่แข็งแกร่งพอ ทั้งๆที่สามารถเล่นได้จากตำแหน่งของเรา หรือไม่กล้า Call แฮนด์นี้ เพราะกลัวคู่แข่งจะมีแฮนด์ที่ดีกว่า ทั้งๆที่คู่แข่งน่าจะ Bluff บ่อยกว่าปกติ หรือโมโหที่คู่แข่งคนนี้เอาชนะเราแฮนด์ที่แล้ว ด้วยการเล่นที่แย่ๆ ทำให้เราอยากจะเอาคืนด้วยการเอาไพ่ที่ไม่ดีมากไปเล่น เหล่านี้ อาจจะทำให้ผลการเล่นของเรายิ่งแย่ลงกว่าที่ควรจะเป็น ฉะนั้น โปรส่วนใหญ่ จะแทบไม่ให้อารมณ์ความรู้สึกมามีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเล่นเลย แต่จะตัดสินใจเล่นตามเหตุและผลในเชิงกลยุทธ์ที่สมควรเล่นเท่านั้น เราจึงควรรักษาอารมณ์ สติ ความนิ่ง ความสุขุม ไว้กับตัว เพื่อให้อยู่ใน A Game ของเราตลอดเวลา


ไม่ตัดสินการเล่นจากผลลัพธ์ แต่ดูจากวิธีการเล่น

โปรทุกคน จะไม่ตัดสินการเล่นแต่ละช็อตว่าเล่นดีแล้ว หรือถูกต้องหรือไม่ จากผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น ว่าการเล่นดีหรือถูก เพราะเราได้กำไร เนื่องจากบางครั้ง เราอาจจะเล่นไม่ดี แต่เราแค่โชคดี ก็อาจจะได้กำไรได้ หรือบางครั้ง เราอาจจะเล่นได้ดีแล้ว ถูกต้องแล้ว แต่โชคร้ายเจอ Badbeat ทำให้ต้องแพ้ก็ได้เช่นกัน ดังนั้น การคิดแบบโปรในการเล่น คือวิเคราะห์จากวิธีการเล่นเป็นหลัก ว่าเป็นการเล่นที่สมเหตุผลหรือไม่ ถึงจะเป็นการเล่นที่ดี มากกว่าตัดสินจากผลลัพธ์อย่างเดียว

เช่น เราอยู่บน Final Table เหลือผู้เล่น 6 คน เรามีชิพเป็นอันดับ 4 มี 20bb ถือ JJ ตัดสินใจ All-In ใส่ผู้เล่นชิพอันดับ 3 แล้วโดน Call ด้วย AKo แต่คู่แข่งติดคู่ A บนบอร์ด ทำให้เราต้องแพ้ ตกรอบก่อนอันดับ 5-6 แม้ผลลัพธ์จะแย่มากๆ แต่มันคือการเล่นที่ถูกต้อง เพราะเรายังมีโอกาสนำหลายๆแฮนด์ของคู่แข่ง เพียงแต่แพ้เพราะโชคเท่านั้น

เล่นเมื่อสภาพร่างกายและจิตใจพร้อม พักเมื่อสภาพร่างกายจิตใจแย่

แม้จะมือโปรแค่ไหน แต่ก็ยังคงเป็นมนุษย์ ย่อมมีความรู้สึกดีใจ ผิดหวัง สมหวัง ท้อแท้ เหนื่อย เครียด โกรธ อารมณ์ดี อารมณ์เสีย เป็นเรื่องปกติ ซึ่งโปรนั้น จะพยายามมีสติรู้ตัวอยู่เสมอ ว่า ณ ขณะนั้น ตัวเองรู้สึกอย่างไร ถ้ารู้สึกว่า สภาพร่างกายหรือจิตใจไม่พร้อม เช่น ง่วง อ่อนล้ามากๆ อารมณ์เสียมากๆ ท้อแท้มากๆ ก็ต้องพยายามควบคุมอารมณ์ตัวเอง และเล่นต่ออย่างมีสติมากที่สุดให้ได้ หรืือหากพักได้ ก็จะพักการเล่นไประยะหนึ่งเลย จนกว่าร่างกายหรือจิตใจจะกลับมาปกติ

ดังนั้น การบำรุงและดูแลรักษาสภาพร่างกายและจิตใจ จึงเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์สำหรับของนักเล่นโป๊กเกอร์มืออาชีพ เพื่อทำให้ตัวเองอยู่ในสภาพที่พร้อมที่สุดก่อนเล่นเสมอ โปรหลายคนจึงให้ความสำคัญกับการออกกำลังกาย การพักผ่อน การศึกษาหลักคิด หรือการทำสมาธิก่อนแข่ง ไม่ต่างอะไรจากนักกีฬาประเภทอื่นเช่นกัน

ทั้ง 4 ห้วข้อ คือแนวทางการปฏิบัติตัวอย่างมืออาชีพในการเล่นโป๊กเกอร์ที่เราขอแนะนำให้ทุกคนยึดถือเป็นแนวทางเพื่อปฏิบัติตาม หากต้องการพัฒนาตัวเองให้ไปถึงระดับมือโปร และเราหวังว่า คุณเองก็สามารถก้าวขึ้นไปเป็นโปรได้ในอนาคตเช่นกัน