การวางแผนเตรียมตัวแข่งโป๊กเกอร์ทัวร์นาเมนต์เพื่อเป็นผู้ชนะ
โป๊กเกอร์ทัวร์นาเมนต์ เป็นรูปแบบของการเล่น Poker ที่ได้รับความนิยมอย่างสูง เพราะนอกเหนือจากโอกาสทำกำไรแล้ว ยังมีความสนุก ตื่นเต้น จากการแข่งขันเพื่อชิงชัยกันหาผู้ชนะเพียงหนึ่งเดียวของรายการ ซึ่งสร้างเกียรติยศ ความภาคภูมิใจ หรือการคว้าถ้วยรางวัลมาสะสม สำหรับผู้ที่คว้าแชมป์ได้อีกด้วย
แต่การที่จะสามารถทำกำไรระยะยาวจากโป๊กเกอร์ทัวร์นาเมนต์หรือคว้าแชมป์มาครองให้ได้ ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ในบทความนี้จึงจะขอแนะนำแนวทางการวางแผนเตรียมตัวและวางกลยุทธ์ในการเล่นโป๊กเกอร์ทัวร์นาเมนต์ เพื่อให้ทุกคนสามารถเพิ่มโอกาสเอาชนะการเล่นโป๊กเกอร์ทัวร์นาเมนต์ได้มากขึ้น
การเตรียมตัวก่อนลงแข่งโป๊กเกอร์ทัวร์นาเมนต์
ก่อนจะเริ่มเล่นโป๊กเกอร์ทัวร์นาเมนต์ มีอยู่ 4 เรื่องด้วยกันที่เราควรวางแผนเตรียมก่อนก่อนลงแข่งด้วยกัน ได้แก่ :
1.เลือกประเภททัวร์นาเมนต์ที่ลงแข่ง
โป๊กเกอร์ทัวร์นาเมนต์มีอยู่หลายประเภทด้วยกัน ซึ่งแต่ละประเภทก็มีรายละเอียดที่แตกต่างกัน ซึ่งส่งผลต่อกลยุทธ์การเล่นที่อาจจะต้องปรับ เพื่อเพิ่มโอกาสเอาชนะให้สูงขึ้น ดังนั้น เราจึงต้องทำความรู้จักทัวร์นาเมนต์แต่ละรูปแบบก่อน เพื่อที่จะเตรียมตัวได้ถูกว่า ควรจะปรับการเล่นอย่างไรให้เหมาะสมกับทัวร์นาเมนต์ประเภทนั้น ตัวอย่างของโป๊กเกอร์ทัวร์นาเมนต์ในแต่ละแบบ ได้แก่ :
- ทัวร์แบบปกติ
สำหรับทัวร์นาเมนต์แบบปกติ จะมีโครงสร้างของทัวร์นาเมนต์ที่คล้ายกันคือ 1. เวลาของ Blind Level เพิ่มปกติ ถ้าเป็นออนไลน์จะอยู่ที่ประมาณเลเวลละ 10-12 นาที ถ้าเป็นไลฟ์ทัวร์นาเมนต์จะอยู่ที่ประมาณเลเวลละ 30-45 นาที 2. สัดส่วนจำนวนคนที่จะได้เงินรางวัล (In The Money : ITM) จะอยู่ที่ประมาณ 13-15% ของจำนวนการสมัครทั้งหมด 3. ระยะเวลาการสมัครช้า (Late Register) จะอยู่ในช่วงจนถึง Blind Level สุดท้ายก่อนปิดสมัครจะทำให้ชิพที่เริ่มเล่น (Starting Stack) มีจำนวนประมาณ 15bb - ทัวร์แบบ Bounty Hunter
เป็นทัวร์แบบที่ผู้เล่นแต่ละคน จะมี “ค่าหัว” (Bounty) ของตัวเอง ซึ่งหากเราสามารถทำให้ผู้เล่นคนไหนตกรอบไปได้ เราก็จะได้ค่าหัวของผู้เล่นคนนั้นมาเป็นเงินเข้ากระเป๋าเราเลยทันที โดยไม่จำเป็นต้อง ITM ก่อน หรืออาจจะได้เป็นสิทธิ์ในการจับกล่องสุ่มค่าหัว ที่เรียกว่า Mystery Bounty ได้เช่นกัน ซึ่งจะได้ค่าหัวเท่าไหร่ก็แล้วแต่ดวงในการสุ่มของเรา
ด้วยความที่ถ้าใครสามารถ Knockout คู่ต่อสู้ได้ จะได้เงินทันที ทำให้กลยุทธ์การเล่นจะถูกปรับให้เสี่ยงมากยิ่งขึ้น โดยที่เราอาจจะต้อง Call รับ All-In คู่แข่งด้วยแฮนด์ที่กว้างขึ้น (Range Call All-in กว้างขึ้น) และอาจจะต้องเผชิญสถานการณ์ที่มีผู้เล่นหลายคน All-In พร้อมกันเพื่อหวังค่าหัวคู่แข่งบ่อยขึ้น ทำให้เกมมีความผันผวนจากโชคมากขึ้น หากเราวางแผนจะเล่นทัวร์แบบ Bounty บ่อยๆ จึงอาจจะจำเป็นต้องเตรียม Bankroll ให้มากขึ้นกว่าการเล่นทัวร์นาเมนต์แบบปกติ เพื่อรองรับความผันผวนที่สูงขึ้น - ทัวร์แบบ Turbo
เป็นทัวร์แบบที่ Blind Level จะถูกปรับเพิ่มขึ้นเร็วกว่าปกติ ถ้าเป็นออนไลน์จะอยู่ที่ประมาณเลเวลละ 5-8 นาที และไลฟ์ทัวร์จะอยู่ที่ประมาณเลเวลละ 10-15 นาที (ถ้าหากระยะเวลาสั้นกว่านี้ จะเป็นทัวร์นาเมนต์ที่เร็วมากๆ เรียกว่าแบบ Hyper Turbo)
ด้วยความที่ทัวร์ Turbo เป็นทัวร์ที่ Blind Level ขึ้นเร็ว นั่นทำให้ผู้เล่นโดยส่วนใหญ่ จะมีขนาดของ Stack เล็กลงไวกว่าปกติ (จำนวนชิพเมื่อคิดเป็นจำนวน Big Blind จะเหลือน้อยลง) ทำให้ถ้าเราอยากจะเก่งทัวร์แบบนี้ ต้องศึกษาวิธีการเล่นช่วง Short Stack (มี Stack น้อยกว่า 30bb) ให้เชี่ยวชาญ ถึงจะได้เปรียบคู่แข่ง และด้วยความที่มีโอกาส All-In หรือรับ All-In บ่อยขึ้น เพราะต้องวัดดวงกับ Short Stack บ่อยขึ้น ทำให้ถ้าเราจะเล่นทัวร์แบบ Turbo บ่อยๆ เราก็ควรจะเตรียม Bankroll ให้มากขึ้น เพื่อรองรับความผันผวนที่สูงขึ้นตามไปด้วยเช่นกัน - ทัวร์แบบ AII-In of Fold หรือแบบ Speed Racer
All-In or Fold เป็นทัวร์แบบที่เราไม่สามารถเล่น Postflop ได้ เพราะตัดสินใจได้แค่จะเล่นโดยการ All-In หรือไม่ก็ Fold ไปเลยเท่านั้น ส่วน Speed Racer เป็นทัวร์แบบที่เริ่มเล่นด้วย Short Stack เพียง 10bb เลยเท่านั้น ทำให้ยิ่งเป็นทัวร์ที่มีความเสี่ยงและความผันผวนสูงมาก เพราะต้องวัดดวงทุกแฮนด์ จึงแนะนำว่า ต้องศึกษาการเล่น Preflop ในการเลือกแฮนด์ที่จะ All-In ให้ช่ำชอง ถึงจะได้เปรียบคู่แข่ง และควรจะต้องเตรียม Bankroll ไว้มากขึ้นเพื่อรองรับความผันผวนที่สูงขึ้นเช่นกัน หรือไม่ก็ควรเลือกแบบที่มีค่าสมัคร Buy-In ต่ำกว่า Buy-In ในทัวร์ปกติที่เราเล่นอยู่ - ทัวร์แบบ Deep Stack หรือ Marathon
Deep Stack คือทัวร์ที่มี Stack เริ่มต้น Deep กว่าปกติ เช่น อาจจะเริ่มต้นอยู่ในช่วง 300-400bb ทำให้มีช่วงเวลาที่ต้องเล่นแบบ Deep Stack นานกว่าทัวร์ปกติ
ขณะที่ Marathon คือทัวร์ที่มี Blind Level ขึ้นช้ากว่าปกติ ถ้าเป็นออนไลน์จะอยู่ในช่วงเลเวลละ 12-15 นาที ถ้าเป็นไลฟ์ทัวร์จะอยู่ในช่วงเลเวลละ 60 นาที ซึ่งส่งผลทำให้เราอาจจะต้องเล่นอยู่ในช่วง Deep Stack นานกว่าปกติเช่นกัน จะแตกต่างกันก็เพียงแต่ Deep Stack จะต้องเล่นแบบ Deep Stack ช่วง 5-6 เลเวลแรกเท่านั้น หลังจากนั้นก็จะเล่นเหมือนทัวร์ปกติ แต่แบบ Marathon Stack อาจจะไม่ได้ Deep มาก แต่จะใช้เวลาแต่ละเลเวลนานกว่าแบบปกติไปตลอด
ทำให้ทัวร์แบบ Deep Stack เราควรศึกษาการเล่น Postflop ที่ระดับ Stack Deep มากๆไว้ก่อน เช่น 100bb ขณะที่แบบ Marathon เราอาจจะต้องศึกษาการเล่น Postflop ช่วงที่ Stack อาจจะไม่ได้ Deep มาก แต่เป็นช่วงที่ยาวๆไว้ก่อน เช่นช่วง 40-60bb จึงจะได้เปรียบคู่แข่ง รวมถึงอาจจะต้องเพิ่มความอดทน และสมาธิให้สูงขึ้น เพราะจะต้องใช้เวลาเล่นทัวร์นานขึ้นกว่าปกติอีกด้วย - ทัวร์แบบ Freezeout
เป็นทัวร์แบบที่เราจะ Buy-In ได้แค่ครั้งเดียวเท่านั้น หากตกรอบแล้ว จะไม่สามารถ Rebuy กลับมาเล่นได้อีก แม้จะยังไม่ปิดรับสมัครก็ตาม นั่นอาจจะส่งผลให้ผู้เล่นส่วนใหญ่ในทัวร์แบบนี้ เล่นกันด้วยความระมัดระวังมากกว่าปกติ เพราะหากพลาดแล้วจะไม่สามารถแก้ตัวได้เลย ดังนั้น เราอาจจะสามารถปรับกลยุทธ์ โดยการ Bluff ได้บ่อยขึ้น หากเรามี Stack มากพอ หรือมากกว่าคนอื่นในโต๊ะ เพราะมีโอกาสที่คู่แข่งจะ Fold ให้เราได้บ่อยขึ้น - ทัวร์แบบชิงตั๋ว (Satellite)
ทัวร์ชิงตั๋ว จะเป็นทัวร์ที่ผู้ที่ติดอันดับได้เงินรางวัล หรือ ITM จะได้รางวัลเป็นตั๋วการแข่งขัน เอาไว้สำหรับสมัครแข่งทัวร์ที่เป็นเป้าหมายหลักของทัวร์ชิงตั๋วนั้นๆเท่านั้น นั่นทำให้คนที่ ITM ไม่ว่าจะอยู่อันดับไหนๆ ก็จะได้รางวัลเป็นตั๋วที่มีมูลค่าเท่ากันหมด ไม่มีความแตกต่างกันของเงินรางวัลแต่ละอันดับ
เนื่องจากมูลค่าของรางวัลไม่แตกต่างกัน ทำให้เป้าหมายของทัวร์ชิงตั๋ว คือการขอแค่ให้ ITM ก็พอ โดยเน้นสะสมชิพให้ถึงในระดับที่จะได้รางวัล หรือคำนวณจาก (จำนวน Buy-In ทั้งหมด x จำนวนชิพเริ่มต้น) / จำนวนตั๋วที่จะได้ ก็จะออกมาเป็น จำนวนชิพเฉลี่ยที่เราต้องมี เพื่อให้มีโอกาส ITM แล้วได้ตั๋วนั่นเอง ดังนั้น หากเราสามารถทำชิพได้สูงกว่าจำนวนชิพที่ต้องการแล้ว เราก็ไม่มีความจำเป็นต้องเอาชิพไปเสี่ยงอีก ทำให้เราอาจจะเล่น Tight ขึ้น หรือหาจังหวะ Bluff เพื่อขโมยชิพบ้างเล็กน้อยก็พอ เพื่อรักษาอันดับให้อยู่ในอันดับที่ติด ITM เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว - ทัวร์แบบ Win The Button
เป็นทัวร์ที่มีกติกาพิเศษคือ ถ้าใครชนะแฮนด์นั้น แฮนด์ต่อไปก็จะได้เป็น Button นั่นทำให้ผู้เล่นทุกคนมีความกระหายอยากชนะเอาชนะกันมากขึ้น เพราะเมื่อเป็น Button ก็เท่ากับว่าไม่ต้องเสีย Blind หรือ BB Ante และเมื่อมีใครเล่นแฮนด์นั้น คนที่อยู่ทางซ้ายมือของคนที่เล่น ก็ต้องหาจังหวะที่จะเล่นบ่อยกว่าปกติขึ้นเช่นกัน เพื่อป้องกันไม่ให้คนที่เล่นชนะ แล้วตัวเองต้องเป็น Blind ในตาต่อไป ผู้เล่นส่วนใหญ่จึงต้องปรับกลยุทธ์ให้เล่นแบบ Aggressive มากขึ้น ทั้งการ Bluff และการจับ Bluff
- ทัวร์แบบปกติ
2.เตรียมตัวฝึกซ้อม
ในเรื่องของการฝึกซ้อมการเล่น ก่อนเข้าแข่งทัวร์นาเมนต์ก็ถือเป็นเรื่องสำคัญ ไม่ต่างจากนักกีฬาที่ต้องมีการฝึกซ้อมเพื่อเตรีมตัวก่อนแข่งจริง สำหรับในเกมโป๊กเกอร์ เราควรจะเตรียมตัวโดยการทบทวนการเล่นที่ผ่านมา ด้วยการ Review Hand เพื่อตรวจสอบว่า มีแฮนด์ไหนที่เราเล่นได้ดี หรือเล่นพลาดบ้าง ตรงจุดไหน เพื่อหาทางปรับปรุงแก้ไข ส่วนการฝึกซ้อมเรื่องไหนอย่างไร ก็อยู่ที่ว่าเราวางแผนจะเล่นทัวร์นาเม้นต์แบบไหน เราก็ควรจะฝึกซ้อมในเรื่องที่สำคัญสำหรับทัวร์นาเมนต์รูปแบบนั้น เช่น
- ทัวร์แบบ Bounty ที่มีการเล่น Preflop ที่กว้างและเสี่ยงกว่าปกติ เราก็ควรหาความรู้และฝึกซ้อมการเล่น Preflop ว่าควรจะเล่นอย่างไรกับแฮนด์ไหน แฮนด์สามารถ All-In หรือ Call All-In ได้กว้างกว่าปกติ
- ทัวร์แบบ Turbo หรือ All-In or Fold ที่ต้องเล่น Short Stack บ่อยกว่าปกติ หรือต้องตัดสินใจ All-In ทุกแฮนด์ ก็ทำให้เราต้องศึกษา และฝึกฝนการเล่น Preflop มากกว่าปกติ ว่าควรจะเล่นแต่ละแฮนด์ในแต่ละ Stack Size อย่างไร แฮนด์ได้ All-In หรือ Call All-In ได้บ้าง ในแต่ละตำแหน่ง
- ทัวร์แบบ Deep Stack เราก็ควรฝึกฝนการเล่น Preflop ช่วงที่เป็น Deep Stack ประมาณ 80bb ขึ้นไป และศึกษาการเล่นช่วง Postflop ในแต่ละ Spot บ่อยๆ เช่นเดียวกับทัวร์แบบ Marathon เพราะเราต้องเล่นช่วง Postflop บ่อยกว่าปกติ เป็นต้น
3.วางแผนเรื่องเวลาเล่น
เนื่องจากทัวร์นาเม้นต์เป็นรูปแบบการเล่นที่อาจจะต้องใช้เวลานาน ทำให้เราต้องวางแผนเผื่อเวลาการเล่นให้สอดคล้องกับเวลาการเล่นของทัวร์แต่ละประเภท และเพราะเราไม่มีทางรู้ว่า เราจะสามารถเข้ารอบได้ลึกขนาดไหน ทำให้เราอาจจะต้องเผื่อเวลาไว้จนกว่าจะเล่นจนได้ผู้ชนะเลยทีเดียว เพราะเราอาจจะเป็นแชมป์ก็ได้ โดยทั่วไป สำหรับการเล่นทัวร์นาเมนต์แบบออนไลน์และเป็นทัวร์แบบที่เล่นวันเดียวจบ เราควรวางแผนเผื่อเวลาในการเล่นทัวร์แต่ละประเภทไว้คร่าวๆ โดยเรียงจากทัวร์ที่อาจจะใช้เวลานานสุดไปสั้นสุดได้ ดังนี้
- ทัวร์แบบ Marathon = 12 ชั่วโมง
- ทัวร์แบบ Deep Stack = 10 ชั่วโมง
- ทัวร์แบบทั่วไป = 8 ชั่วโมง
- ทัวร์ที่มีเงินรางวัลการันตีสูง หรือมีคนสมัครจำนวนมาก = 8-12 ชั่วโมง
- ทัวร์แบบ Turbo = 4 ชั่วโมง
- ทัวร์แบบ Hyper = 3 ชั่วโมง
- ทัวร์แบบ All-In or Fold / Speed Racer = 2-3 ชั่วโมง
4.เตรียมพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ
ด้วยความที่การเล่นโป๊กเกอร์ เป็นเกมการเล่นที่อาจจะต้องใช้เวลาในการเล่นอย่างยาวนาน โดยเฉพาะการเล่นแบบไลฟ์ทัวร์ ที่นอกจากจะใช้เวลาเช่นแต่ละทัวร์นานแล้ว ยังต้องเล่นต่อเนื่องติดต่อกันหลายวัน จึงเป็นเรื่องที่สำคัญและจำเป็น ที่นักโป๊กเกอร์แบบทัวร์นาเมนต์ จะต้องมีสภาพร่างกายและจิตใจที่แข็งแรง เพื่อให้ร่างกายและจิตใจ สามารถทนรับการเล่นหนักๆติดๆกันได้
ทำให้ในด้านร่างกาย เราก็ควรจะออกกำลังกาย โดยเฉพาะกับกล้ามเนื้อมัดใหญ่อย่าง อก ไหล่ หลัง เพื่อให้กล้ามเนื้อแข็งแรง สามารถนั่งได้นานๆ โดยไม่มีอาการปวดเมื่อย ส่วนในเรื่องของจิตใจ เราก็ควรจะศึกษาและฝึกฝนการทำสมาธิ เพื่อให้สมาธิเราแข็งแรง สามารถโฟกัสกับการเล่นได้นานๆ ไม่มีหลุดสมาธิ รวมถึงการศึกษาเรื่องหลังคิดในการใช้ชีวิต ธรรมะ หรือศาสนาบ้าง ก็จะยิ่งเป็นเรื่องที่ดี เพราะโป๊กเกอร์เป็นเกมที่มีความผันผวนสูง เราต้องกับความล้มเหลว ความโชคร้าย และความพ่ายแพ้ บ่อยกว่าเวลาที่เราชนะ ทำให้เราต้องฝึกฝนให้จิตใจของเราสามารถรับมือกับความเจ็บปวดได้ และปล่อยวางกับล้มเหลวหรือแม้กระทั่งความสำเร็จที่ผ่านมาแล้ว เพื่อให้สามารถก้าวเดินต่อไปได้อย่างเข้มแข็ง และรวดเร็วขึ้น เราถึงจะสามารถเล่นโป๊กเกอร์อย่างมั่นคงในระยะยาวได้
กลยุทธ์การเล่นโป๊กเกอร์ทัวร์นาเมนต์
มาถึงเรื่องของเทคนิค และกลยุทธ์การเล่นโป๊กเกอร์ทัวร์นาเมนต์กันบ้าง เนื่องจากการเล่นในรูปแบบทัวร์นาเมนต์ จะมีโครงสร้างเกมที่แตกต่างจากการเล่นแบบ Cash Game โดยเฉพาะในเรื่องของมูลค่าชิพที่ไม่เท่ากับจำนวนชิพที่มี และการที่ Blind ปรับเพิ่มบีบเร็วขึ้น ทำให้เราต้องให้ความสำคัญกับการจัดการชิพและการปรับตัวตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาการเล่นทัวร์นาเมนต์ กลยุทธ์ในการเล่นทัวร์นาเมนต์จึงค่อนข้างซับซ้อนกว่ามาก
ในส่วนนี้ เราจึงขอแชร์เทคนิคและกลยุทธ์สำคัญที่สามารถช่วยให้ทุกคนมีโอกาสประสบความสำเร็จมากขึ้นในการเล่นโป๊กเกอร์ทัวร์นาเมนต์กัน
1.การจัดการชิพ (Chip Management)
การจัดการชิพเป็นหนึ่งในทักษะที่สำคัญที่สุดในโป๊กเกอร์ทัวร์นาเมนต์ เนื่องจากชิพที่เราถืออยู่เป็นสิ่งที่กำหนดความอยู่รอดของเราในทัวร์นาเมนต์นั้น ทำให้เราต้องวางแผนบริหารจัดการชิพในดี ในแต่ละช่วงของการเล่นทัวร์นาเมนต์ ดังนี้ :
- ช่วงเริ่มต้น (Early Stages)
ในช่วงเริ่มต้นของทัวร์นาเมนต์ เราจะยังมีชิพอยู่จำนวนมาก เพราะว่ายังมีผู้เล่นหลายคนที่ต้องแข่งขันอยู่ ดังนั้น เราจึงควรเล่นอย่างรัดกุมและระมัดระวังในการเลือกเล่นแต่ละแฮนด์ พยายามอย่าเล่นใหญ่ และอย่าเสี่ยงทุ่มชิพมากเกินไป ถ้าแฮนด์เราไม่แข็งแกร่งจริงๆ เพราะมีความเสี่ยงสูงที่จะตกรอบอย่างรวดเร็วได้ แนะนำให้ใช้เวลาในช่วงต้นทัวร์นี้ คอยเก็บข้อมูลผู้เล่นแต่ละคนบนโต๊ะ โดยหมั่นสังเกตวิธีเล่น และจดจำแฮนด์ของพวกเขาเมื่อ Showdown เพื่อให้เราพอจะสามารถวิเคราะห์สไตล์การเล่นของคู่แข่ง และปรับกลยุทธ์เพื่อเอาชนะพวกเขาเหล่านั้นภายหลังได้ - ช่วงกลาง (Middle Stages)
ระช่วงนี้ โครงสร้างของ Blind จะเริ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ เราต้อปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ไปเน้นสะสมชิปให้มากขึ้นหลังจากที่เราเริ่มมีข้อมูลคู่แข่งพอสมควรแล้ว เพื่อให้เรามีชิพมากพอที่จะเหลือรอดไปจนถึงช่วงที่ติดอันดับเงินรางวัล หรือ In The Money (ITM) เราสามารถแฮนด์ได้กว้างขึ้น หลากหลายมากขึ้นแต่ยังคงต้องระมัดระวังในการเลือกแฮนด์ที่จะเล่นอยู่บ้าง เพื่อไม่ให้สูญเสียชิพมากจเกินไปอยู่ - ช่วงท้าย (Late Stages)
ในช่วงท้าย ชิพของเราจะยิ่งมีความสำคัญมากขึ้น เพราะจะเป็นตัวตัดสินว่าเราได้จะเข้าสู่ Final Table หรือไม่ ทำให้หากเรามีชิพปานกลาง เราจึงควรเล่นแบบ Tight หรือรัดกุมมากๆ เล่นแต่เฉพาะแฮนด์ที่ดีจริงๆเท่านั้น โดยเฉพาะถ้าต้อง All-In หรือรับ All-In แต่หากเรามีชิพมาก หรือมากกว่าคนอื่นๆในโต๊ะ เราควรใช้โอกาสนี้ในการกดดันผู้เล่นที่มีชิพน้อยกว่า จากความกลัวที่จะตกรอบ โดยเล่นให้ Aggressive หรือดุดัน มากขึ้น ด้วยการ open Raise บ่อยขึ้น หรือ Bluff มากขึ้น โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในตำแหน่งที่ดี (เช่น ตำแหน่งท้ายๆ) จะสามารถเพิ่มแรงกดดันต่อคู่ต่อสู้ และทำให้เราขโมยหรือสะสมชิพให้มากขึ้นได้
- ช่วงเริ่มต้น (Early Stages)
2.การเลือกแฮนด์ที่จะเล่น (Starting Hand Selection)
การเลือกแฮนด์ที่ดีที่จะนำเข้าไปเล่น เป็นพื้นฐานสำคัญในการเล่นโป๊กเกอร์ทัวร์นาเมนต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเราต้องแข่งขันกับผู้เล่นหลายคนที่มีระดับทักษะที่แตกต่างกัน เราจึงควรเลือกแฮนด์ให้สอดคล้องกับตำแหน่งที่เราจะเล่น ดัวนี้ :
- การเลือกแฮนด์ในตำแหน่งต้นๆ (Early Position : EP เช่น UTG-UTG+1)
ด้วยความที่เราเสียเปรียบด้านตำแหน่ง และยังมีผู้เล่นอยู่หลังเราอีกหลายคน ในตำแหน่ง EP เราควรจะเล่นแฮนด์ในขอบเขต หรือ Range ที่ค่อนข้างแคบ นั่นคือเชือกแฮนด์ที่ค่อนข้างดี หรือเล่นต่อได้ดีมาเล่น เช่น คู่ 77 ขึ้นไป, แฮนด์ Broadway (T-A) 2 ใบ หรือแฮนด์จำพวก Suited Connector ที่ค่อนข้างดีอย่าง T9s ขึ้นไป เป็นต้น และยิ่งเลือกแฮนด์ที่จะเล่นต่อให้แคบลงไปอีก เมื่อถูกคนข้างหลัง Reraise หรือ 3Bet โดยพยายาม Call เล่นต่อกับ Broadway Suited Hand หรือคู่ TT ขึ้นไปเป็นหลัก และ All-In กับแฮนด์ที่ดีกว่านั้นไปเลย - การเลือกแฮนด์ในตำแหน่งกลางๆ (Middle Position : MP เช่น LJ-HJ)
ใน MP เราสามารถเลือกเล่นแฮนด์ที่กว้างขึ้นกว่าเดิมได้เล็กน้อย เนื่องจากเหลือผู้เล่นในตำแหน่งที่เหลือน้อยลง เช่น คู่ 55 ขึ้นไป, แฮนด์ Broadway, A8o ขึ้นไป และ Suited Connector ตั้งแต่ 76s ขึ้นไป เป็นต้น - การเลือกแฮนด์ในตำแหน่งท้ายๆ (Late Position : LP เช่น CO-BTN)
เมื่ออยู่ในตำแหน่ง LP เราสามารถเล่นแฮนด์ได้กว้างขึ้นมากๆ เนื่องจากเหลือผู้เล่นข้างหลังแค่ตำแหน่ง Blinds เท่านั้น ทำให้มีความได้เปรียบด้านตำแหน่งอย่างสูง เราอาจะเลือกเล่นได้ตั้งแต่คู่ 22 ขึ้นไป, แฮนด์ Broadway, Offsuited Connector ตั้งแต่ 98o ขึ้นไป, Suited Connector ตั้งแต่ 54s ขึ้นไป รวมถึง Suited Gapper อย่าง 75s ขึ้นไป เป็นต้น นอกจากนั้น เรายังสามารถ Reraise หรือ 3Bet ใส่ผู้เล่นที่ Open Raise มาก่อนหน้า ได้กว้างกว่าตำแหน่งอื่น ทั้งแฮนด์ที่แข็งแกร่งจริงๆ และแฮนดที่เป็น Semi Bluff อีกด้วย เพราะถึงแม้จะโดน Call มาได้ แต่เรายังสามารถ CBet Bluff ต่อแล้วทำให้คู่ต่อสู้ Fold ได้บ่อย เพราะเรามักจะได้เปรียบด้านตำแหน่งกับคู่แข่งเสมอ
- การเลือกแฮนด์ในตำแหน่งต้นๆ (Early Position : EP เช่น UTG-UTG+1)
3.การอ่านคู่ต่อสู้ (Reading Opponents)
การอ่านคู่ต่อสู้เป็นทักษะที่สำคัญที่ช่วยให้เราสามารถปรับกลยุทธ์การเล่นของเราได้อย่างเหมาะสมตามสถานการณ์ การสังเกตพฤติกรรมของคู่ต่อสู้สามารถช่วยให้เราตัดสินใจได้ว่าควรจะปรับการเล่นให้เหมาะกับคู่ต่อสู้แต่ละคนอย่างไร โดยพยายามสังเกตวิธีการเล่น จดจำเวลาเห็นแฮนด์ที่คู่แข่งเล่นเมื่อเขา Showdown เพื่อนำไปวิเคราะห์แนวทางการเล่นของคู่ต่อสู้ว่าเป็นผู้เล่นประเภทไหน เช่น เขาผู้เล่นที่ชอบ Bluff บ่อย ๆ หรือเขาเป็นผู้เล่นที่เล่นอย่างระมัดระวัง การสังเกตเหล่านี้จะช่วยให้เราปรับกลยุทธ์การเล่นให้เหมาะสมและเพิ่มโอกาสในการชนะได้มากขึ้น
ขณะเดียวกัน เราก็อาจจะต้องพิจารณา และพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนวิธีหรือสไตล์การเล่นของเราด้วย หากเรารู้สึก หรือสังเกตเห็นว่าคู่ต่อสู้เริ่มจับทางการเล่นของเราได้แล้ว เราก็ควรปรับเปลี่ยนการเล่นเพื่อทำให้คู่ต่อสู้กลับมาคาดเดาเราได้ยากอีกครั้ง เช่น ถ้าเราเคยเล่นอย่างรัดกุม เราอาจจะต้องปรับวิธีการเล่นให้ดุดันมากขึ้น โดยมี Bluff มากขึ้น Bet ใหญ่ขึ้น เพื่อทำให้คู่ต่อสู้เกิดความสับสน หรือถ้าเรา Bluff บ่อย แล้วเจอคู่แข่งจับ Bluff ได้บ่อยขึ้น เราอาจจะต้องลด Bluff ลง และ Bet เมื่อมีแฮนด์ที่ค่อนข้างดีบ่อยขึ้น เป็นต้น
4.การจัดการช่วงบับเบิล (Bubble Play)
ช่วงบับเบิล จะเป็นช่วงที่มีความกดดันสูง เนื่องจากเป็นช่วงที่เหลือเพียงไม่กี่คนก่อนเข้าสู่ช่วงที่มีการจ่ายเงินรางวัล (ITM Bubble) การเล่นในช่วงนี้จึงต้องการความระมัดระวังและการตัดสินใจที่ดี และรอบคอบมากๆเพื่อไม่ให้ตกอยู่ในสถานการณ์ที่เสี่ยงเกินไป หากเรามีชิพอยู่ไม่มากนัก และอยู่ในตำแหน่งที่ติดหรือใกล้ติด ITM แล้ว ก็ควรเล่นแบบรัดกุมเพื่อรักษาชิพของเราไว้ให้ผ่านช่วงบับเบิลเข้ากว่าจะเข้า ITM ก่อน จึงค่อยกลับมาเล่นปกติ แต่หากเรามีชิพจำนวนมาก เราก็สามารถใช้ประโยชน์จากความกลัวที่จะตกรอบของผู้เล่นที่มีชิพน้อยกว่า โดยการเพิ่มแรงกดดันด้วยการเล่นอย่างดุดันมากขึ้น เช่น Open Raise บ่อยๆ หรือ Bluff หรือใช้การ Bet ใหญ่ๆ เพราะคู่แข่งมีโอกาส Fold บ่อยกว่าปกติ และเป็นโอกาสให้เราได้สะสมชิพได้มากขึ้น
5.การเล่นในช่วงท้ายและ Final Table
เมื่อเข้าสู่ Final Table การเล่นโป๊กเกอร์จะเปลี่ยนไปอีกครั้ง เนื่องจากจำนวนผู้เล่นน้อยลงและชิพมีความสำคัญมากขึ้น กลยุทธ์ที่เหมาะสมในช่วงนี้คือการเพิ่มความดุดันและใช้เทคนิคการเล่นที่เน้นการสะสมชิพ เมื่อเราเป็นชิพลีดเดอร์ หรือมีชิพมากเป็นอันดับ 2-3 บนโต๊ะ โดยนำกลยุทธ์แบบ ICM (Independent Chip Model) เข้ามาช่วย ซึ่งจะเป็นการเล่นที่มีลักษณะ Raise / Fold มากขึ้น และ Call ไปเล่นน้อยลง เพื่อกดดันผู้เล่นที่มีชิพน้อยกว่า ขณะที่ ถ้าเรามีชิพอยู่กลางๆ หรือมีคนที่มีชิพน้อยกว่าเราอยู่บางคน กลยุทธ์ ICM จะแนะนำให้เราเล่นแบบรัดกุม ไม่เอาชิพไปเสี่ยงถ้าไม่จำเป็น เพราะหากเราเสี่ยงแล้วตกรอบไปก่อนคนที่มีชิพน้อยกว่า จะทำให้เราเสียหายได้มาก ในขณะที่แค่เรานั่งเฉยๆ เล่นแบบรัดกุมไปเรื่อยๆ เราอาจจะมีโอกาสได้เงินรางวัลมากขึ้น โดยปล่อยให้ผู้เล่นคนอื่นๆตกรอบไปก่อนจะดีกว่า ดังนั้น การเล่นบน Final Table จะเป็นเรื่องของความอดทน สำหรับคนมีชิพไม่มาก และเป็นเรื่องของการหาจังหวะโอกาสในการกดดันคู่แข่ง สำหรับคนที่มีชิพมากเป็นหลัก
การเล่นโป๊กเกอร์ทัวร์นาเมนต์ต้องอาศัยการวางแผนและกลยุทธ์ที่ดี ทั้งการจัดการชิพ การเลือกมือเริ่มต้น การอ่านคู่ต่อสู้ และการปรับตัวตามสถานการณ์เป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญ นอกจากนี้ ความสามารถในการเล่นอย่างมีวินัยและการตัดสินใจที่ถูกต้องในช่วงเวลาสำคัญจะช่วยให้เรามีโอกาสประสบความสำเร็จในโป๊กเกอร์ทัวร์นาเมนต์มากขึ้น
ด้วยการฝึกฝนและการเรียนรู้จากประสบการณ์ เราก็สามารถพัฒนาทักษะการเล่นโป๊กเกอร์และเพิ่มโอกาสในการคว้าชัยชนะในทัวร์นาเมนต์ต่าง ๆ ได้อย่างมั่นใจได้มากขึ้น